วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สิ่งสำคัญ ที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกกับ บัณฑิตแห่งฮาร์วาร์ด


» สิ่งสำคัญ ที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกกับ บัณฑิตแห่งฮาร์วาร์ด

       » เรียบเรียง และ ถ่ายทอด โดย "หนุ่มเมืองจันท์"





วันหนึ่ง เมื่อ "เจ.เค.โรลลิ่ง" ไปปาฐกถาในงานรับปริญญาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
... 
เธอบอกกับบัณฑิตทุกคนว่า เรื่องที่เธออยากจะพูด คือ สิ่งที่เธอคิดว่าควรจะรู้ตอนรับปริญญา แต่ไม่ได้รู้

และสิ่งที่เธอเรียนรู้จากช่วงเวลา 21 ปีหลังจบการศึกษา

เรื่องนั้นคือ..."ประโยชน์ของความล้มเหลว"

----------

...สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดตอนที่อายุเท่ากับพวกคุณ ไม่ใช่ "ความจน" หากเป็น "ความล้มเหลว"

"พรสวรรค์และสติปัญญาไม่เคยเป็นภูมิคุ้มกันให้ใครรอดพ้นจากความไม่แน่นอนของโชคชะตาไปได้"

"เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกว่า แรงขับของคนที่จบจาก "ฮาร์วาร์ด" อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจาก "ความกลัวจากความล้มเหลว" หรือ "ความปรารถนาในความสำเร็จ" ก็ได้

แต่ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยง "ความล้มเหลว" ได้

การล้มเหลวในบางครั้งของชีวตเป็นเรื่องธรรมดา

"ยกเว้นแต่คุณจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากเสียจนไม่เกดมาเลยจะดีกว่า ซึ่งในกรณีนั้นเท่ากับว่าคุณได้ล้มเหลวโดยอัตโนมัติ"

ชอบครับ...ชอบ

--------

"เจ.เค.โรลลิ่ง" เล่าว่า หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย ชีวิตของเธอได้เดินหน้าสู่ "ความล้มเหลว" อย่างเต็มตัว

7 ปี หลังจากนั้น เธอล้มเหลวเรื่อง "ชีวิตคู่" ต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียว

ล้มเหลวเพราะไม่มีงานทำ

และล้มเหลวเพราะ "จน" ที่สุดเท่าที่จนได้ในประเทศอังกฤษสมัยใหม่โดยที่ยังไม่เป็นคนจรจัด

หลายคนเคยพูดถึงชีวิตของเธอว่าเป็นการคลี่คลายอย่างน่ามหัศจรรย์ราวกับนิทานเด็ก

แต่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกเลยว่า "ความล้มเหลว" ไม่ใช่เรื่องสนุก

"ฉันไม่รู้เลยว่า อุโมงค์นั้นจะยาวขนาดไหน และเป็นเวลานานมากที่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ถ้ามันจะมี ก็เป็นเพียงความหวังของฉัน ไม่ใช่ความจริง"

--------

แล้ว "ประโยชน์" ของ "ความล้มเหลว" คืออะไร

คำตอบสั้น ๆ จาก "เจ.เค.โรลลิ่ง" ก็คือ ความล้มเหลวได้บังคับให้เราต้องถอดรื้อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สำคัญ

"ฉันหยุดหลอกตัวเองว่า ฉันเป็นอะไรที่มากกว่าที่ฉันเป็น แล้วก็เริ่มทุ่มเทพลังงานให้กับการทำงานเดียวที่สำคัญสำหรับฉันให้เสร็จ"

เธอบอกว่า ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอประสบความสำเร็จในเวทีเดียวที่เชื่อว่าเป็นเวทีของเธอจริง ๆ

และนั่นคือ ที่มาของ "แฮรี่ พ็อตเตอร์"

นวนิยายที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและพลังแห่งความมุ่งมั่นของเธอ

--------

"ความล้มเหลว" ได้ปลดปล่อย "เจ.เค.โรลลิ่ง" ให้พ้นจาก "จินตนาการ" ที่หลอกตัวเองว่า เธอเป็นอะไรที่มากกว่าที่เธอเป็

ผมเชื่อว่า นี่คือประเด็นที่เธออยากบอกคนหนุ่มสาวที่ก้าวพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย

"ความฝัน" และ "ความเชื่อมั่น" เป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์

แต่ "ความจริง" คือ โลกใต้ฝ่าเท้าที่เรายืนอยู่

และ "ความล้มเหลว" คือ โฟมล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างเครื่องสำอางแห่ง "ความฝัน" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคลือบอยู่บนใบหน้าของเร

หลังจากปล่อยให้ "ความล้มเหลว" จัดการพันธนาการต่าง ๆ ที่ "ไม่จริง" จนหมดสิ้น

"เจ.เค.โรลลิ่ง" ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

แม้ "ความล้มเหลว" ได้กลายเป็น "ความจริง"

"แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่"

สิ่งที่เธอมีในวันนั้นก็คือ 1.มีลูกสาวที่เธอรัก 2.มีเครื่องพิมพ์ดีดเก่า ๆ 1 เครื่อง

และ 3.เธอมี "ไอเดีย" ที่ยิ่งใหญ่

-------- 

ประโยคต่อมาเป็นประโยคที่ผมชอบที่สุดในปาฐกถาชิ้นนี้

"ก้นเหวจึงเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้ฉันสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่"

ครับ...ถ้าเราไม่ยอมรับ "ความจริง" ว่าเราล้มเหลว
ยังแหวกว่ายอยู่ในหุบเหวของความล้มเหลวโดยใช้จินตนาการที่หลอกตัวเองเป็นเครื่องพยุงตัว

ไม่ยอมปล่อยตัวเองให้ถึงก้นเหว

โอกาสที่เราจะทะยานตัวขึ้นก็เป็นเรื่องยาก

เพราะหลักของการ "ลุก" เมื่อเรา "ล้ม" ก็คือ ต้องดันตัวเองขึ้นมาโดยใช้พื้นเป็นฐานยันตัว

การลอยอยู่ในอากาศ เราจะไม่มีอะไรเป็นฐานในการดันตัวขึ้นเลย

แต่เมื่อเรายอมดิ่งตัวเองจนถึง "ก้นเหว" เมื่อไร

เราจะมี "ก้นเหว" เป็นจุดค้ำยันและผลักตัวเองให้กระโดดขึ้นมาจากหุบเหวแห่ง "ความล้มเหลว" ได้สำเร็จ

-------- 

"ความล้มเหลวมอบความมั่นคงทางจิตใจให้กับฉัน...ความล้มเหลวสอนเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวฉันเองที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยโดยวิธีอื่น"

สิ่งที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" ได้รับก็คือ เธอมีความมุ่งมั่นมากขึ้น และมีวินัยมากกว่าที่เธอคาดคิด

"ความรู้ที่คุณมีหลังจากที่โผล่พ้นจากความล้มเหลวแต่ละครั้งอย่างมีปัญญาและเข้มแข็งกว่าเดิม แปลว่า คุณจะมีความสามารถในการเอาตวรอดติดตัวไปตลอดชีวิต"

"คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงหรือรู้จักความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ในชีวิตจนกว่าทั้ง 2 สิ่งนี้จะถูกทดสอบด้วยเคราะห์ร้าย"

"เจ.เค.โรลลิ่ง" สรุปว่า "ความรู้" แบบนี้เป็นพรสวรรค์ที่แท้จรงและได้มาด้วยความยากลำบาก

"มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับฉันมากกว่าคุณวุฒิทุกอย่างที่ฉันเคยได้รับ"

สำหรับ "เจ.เค.โรลลิ่ง" แล้วชีวิตเป็นเรื่องยากซับซ้อน และไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์

ถ้านั่งไทม์แมชชีน หรือ เครื่องย้อนเวลากลับไปได้ "เจ.เค.โรลลิ่ง" จะบอกตัวเองในวันที่มีอายุ 21 ปีว่า ให้ยอมรับในสัจธรรมข้อนี้

"ความอ่อนน้อมถ่อมตนในการยอมรับความจริงดังกล่าวจะช่วยให้คุณรอดพ้นจากความผันผวนของชีวิต"

--------

ชมคลิป speech ของเธอในงานนี้ได้ที่นี้ครับ

<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nkREt4ZB-ck" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nkREt4ZB-ck" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

--------

Credit : หนุ่มเมืองจันท์ "ความล้มเหลวและจินตนาการ (1)" มติชนสุดสัปดาห์. (24 - 30 ตุลาคม 2551) : หน้า 24.


ที่มา http://www.facebook.com/photo.php?fbid=393683740662857&set=a.184872464877320.42492.180717885292778&type=1&theater

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Just the ticket for popping the question: The tree-lined romantic 'tunnel of love' railway line that's so beautiful it's beyond be-leaf (just watch out for the train) Read more: http://www.dailymail.co.uk/news/article-2142736/Just-ticket-popping-question-The-romantic-tunnel-love-railway-line-thats-beautiful-leaf.html#ixzz1vjOjCWwd


Strolling hand-in-hand with someone special, these young lovers must be in one of the world's most romantic spots.
India may have the Taj Mahal, and Paris is the city of love, but the Ukraine has this incredible, ethereal Tunnel of Love.
There is one thing though, it's also a train line. And when it's choo-choo time, the tunnel does get rather noisy.
Anton Kozachuk, 18, and Nastya Guz, 16, walk through the Tunnel of Love in Klevan, Ukraine
Anton Kozachuk, 18, and Nastya Guz, 16, walk through the Tunnel of Love in Klevan, Ukraine
Rather unromantically, the tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a fibreboard factory near the town of Klevan, in the east of the country. It runs around three times a day delivering wood to the factory.
However, in spring the beautiful avenue of trees is witness to a very different journey - into love. For it is a favoured spot for young romantics to stroll with that special someone.
 
The magic happens when the trees that line the rails burst into life and create a leafy enclosed arch over the track. 
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true. 
A train runs through the Tunnel Of Love's private railway line
A train runs through the Tunnel Of Love's private railway line
The tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a nearby fibreboard factory
The tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a nearby fibreboard factory
A train runs around thrice daily through the ethereal 'tunnel' - delivering wood to the factory
It is a favoured spot for young romantics to stroll with that special someone
The tunnel is a favourite spot for young romantics to stroll with that special someone
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true


Read more: http://www.dailymail.co.uk/news/article-2142736/Just-ticket-popping-question-The-romantic-tunnel-love-railway-line-thats-beautiful-leaf.html#ixzz1vjOg5uzy

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มาร์ค!! เจ้าพ่อ facebook แต่งงาน


"มาร์ค!! เจ้าพ่อ facebook แต่งงาน"

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกหนึ่งคู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเราซักเท่าไหร่ นั่นคือ มาร์คซัคเคอร์เบิร์กนั่นเอง ยินดีด้วยคร้าไปดูรูปเจ้าสาวผู้โชคดีกันดีกว่า...


ขอแสดงความยินด้วยค่ะ เจ้าสาวและเจ้าบ่าว เพราะเป็นคนดังระดับโลกและดูจะอยู่ใกล้ตัวพวกเรามาก เพราะเค้าคือเจ้าของ Facebook.com ซึ่งเมื่อวานนี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้เข้าประตูวิวาห์กับแฟนสาวไปเรียบร้อยแล้ว โดยมาร์คประกาศสถานะโดยการเปลี่ยนรูปที่ Timeline และเปลี่ยน Status เป็นแต่งงานแล้ว  หวังว่าไม่นานจะมีมาร์คจูเนียร์ให้เราได้ดูกันนะค่ะ



วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MLM Online School

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภาพวาดกายวิภาค โดย ลีโอนาร์โด ดาร์วินซี





หนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ “ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี” แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้บุกเบิกด้านการศึกษากายวิภาคของมนุษย์ โดยไลฟ์ไซน์ระบุว่าเขาศึกษากายวิภาคเพื่อพัฒนาการวาดภาพมนุษย์ ล่าสุดทางหอศิลป์ในควีนเอลิซาเบธที่ 2 ได้จัดนิทรรศการภาพวาดกายวิภาคมนุษย์ผลงานดาร์วินชีที่ใหญ่ที่สุด


ข้อมูลจากเว็บไซต์หอศิลป์ราชวงศ์อังกฤษ (The Royal Collection) ระบุว่า ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี (Leonardo da Vinci) เตรียมตีพิมพ์ผลงานการค้นพบทางกายวิภาคของเขา แต่หลังจากเสียชีวิตเมื่อปี 1519 ผลงานของเขาก็หายไปสายตาชาวโลกกว่า 400 ปี


หากแต่วันนี้ผลงานเหล่านั้นมาอยู่ท่ามกลางราชสมบัติของราชวงศ์อังกฤษ ในนิทรรศการภาพวาดกายวิภาคมนุษย์ของดาร์วินชีที่ใหญ่ที่สุด โดยจัดแสดง ณ หอศิลป์สมเด็จพระราชชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (The Queen’s Gallery) พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ระหว่างวันที่ 4 พ.ค.-7 ต.ค.55





ภาพเปลือยของผู้ชายจากด้านหลัง (วาดระหว่าง 1504-1506)





ระบบเลือดและอวัยวะที่สำคัญของผู้หญิง (วาดระหว่าง ปี 1509-1510)





ภาพวาดที่แสดงว่าดาร์วินชีขยับใกล้ความลึกลับของระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ในภาพนี้


เขาวาดภาพอวัยวะสำคัญๆและระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย์ (วาดระหว่าง 1485-1490)





ภาพวาดแสดงความละเอียดอ่อนของกระดูกมือ (วาดประมาณปี 1510)





รายละเอียดของไหล่และเท้าจากภาพวาดของดาร์วินชี (วาดประมาณปี 1510)






บันทึกของดาร์วินชีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้มีอายุเกิน 100 ปี (เขียนเมื่อประมาณปี 1508)





ภาพการศึกษาระบบทางเดินอาหาร





ภาพภาคตัดของกะโหลก รวมถึงรายละเอียดของฟัน





ภาพการศึกษาการวิภาคของหัวใจ ทั้งรายละเอียดของหลอดเลือดหัวใจและลิ้นหัวใจ





ภาพตัวอ่อนในมดลูก (วาดระหว่างปี 1510-1513)



ขอบคุณที่มา : manager.co.th,ภาพประกอบทั้งหมดจากไลฟ์ไซน์/หอศิลป์พระราชวงศ์อังกฤษ






ที่มา http://www.สวยเริ่ด.com/

แมท ภีรนีย์ - มิน พีชญา เปลี่ยนลุคส์ สวยเท่ ลงปก FAST ENTERTAINMENT

แมท ภีรนีย์ - มิน พีชญา เปลี่ยนลุคส์ สวยเท่ ลงปก FAST ENTERTAINMENT  154Share














เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Fast Entertainment




หากพูดถึงนางเอกหน้าใหม่ทีมีผลงานให้เราเห็นกันอย่างต่อเนื่อง อยู่ตอนนี้ต้องมีชื่อของทั้ง 2 คนนี้เป็นแน่นอน แมท ภีรนีย์ นางเอกจากช่อง 3 ที่ผลงานล่าสุดให้ได้ชมกันในละคร "แหม่มแก้มแดง" และ มิน พีชญา นางเอกจากทางช่อง 7 ผลงานล่าสุดกับละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ที่ทั้งสองมักจะพูดถึงฝีมือในการแสดง และความน่ารักของทั้งสองอยู่เสมอ




และในคราวนี้ ทาง FAST ENTERTAINMENT ก็ทำให้ทั้ง 2 มาโคจรพบกัน ในแฟชั่นที่จับทั้งคู่เปลี่ยนลุคส์จากนางเอกหน้าหวาน เป็นสาวเท่ที่แฝงไว้ด้วยความเซ็กซี่ กับโลเคชั่นแปลกตา คลังสินค้าของสนามบินดอนเมือง แล้วเพิ่มความอลังการให้สมจริง ด้วยการมีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์สุดเท่มาให้สองสาวได้โพสต์ท่ากัน โดยได้ช่างภาพฝีมือระดับเทพของเมืองไทย จอร์จ ธาดา วารีช มากดชัตเตอร์ให้อีกเช่นเคย




ถึงแม้ว่านี้จะเป็นครั้งของทั้งคู่ที่มาร่วมงานกัน แต่ก็ทำงานเข้าขากันได้ดีจนมีรูปแฟชั่นภาพสวย ของทั้งสองออกมาให้ชมกัน ใครเป็นแฟนนางเอกทั้งสองคนนี้ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง สามารถติดตามแฟชั่นทั้งคู่แบบแต็ม ๆ กันได้ในกับนิตยสาร FAST ENTERTAINMENT ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม ได้ทุกแผงหนังสือชั้นนำแล้ววันนี้นะคร้าบ


































ตามนางร้ายหน้าสวย เนย โชติกา ท่องแดนดอกทิวลิป


ตามนางร้ายหน้าสวย เนย โชติกา ท่องแดนดอกทิวลิป 
40Share















เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram noeychotika




แหม...น่าอิจฉานางร้ายหน้าสวยอย่างสาว เนย โชติกา ซะจริง ๆ เล้ย ก็ เมื่อไม่นานมานี้ สาวเนยได้บินลัดฟ้า ท่องประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งดอกทิวลิป สัมผัสกับบรรยากาศยุโรปที่เย็นสบาย ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ก็เริ่มผลิบานสวย โดยเฉพาะดอกไม้ประจำชาติอย่างดอกทิวลิป ที่พากันบานสะพรั่งอวดสีสันสวยงาม เดินไปทางไหนก็เบิกบานใจดีแท้




แถมงานนี้ สาวเนยก็จัดเต็มกับเสื้อผ้าที่ไม่ว่าจะเป็น เสื้อหนังสีดำเก๋ ๆ ดูเท่ไปอีกแบบ พร้อมกับใส่หมวกน่ารักซักใบ ก็ดูเปรี้ยวหวานลงตัวดี หรือจะเป็นโค้ทสีน้ำตาลแนววินเทจก็ดูดีไม่หยอก หรือจะเป็นโค้ทสีขาวกับกระโปรงลายสก๊อตก็ดูน่ารักซะไม่มี และสาวเนยก็ไม่พลาดแชะภาพบรรยากาศ และรูปสวย ๆ ของเธอในการออกท่องดินแดนแห่งดอกทิวลิปมาให้แฟน ๆ ได้ชมกัน ว่าแต่จะสวย น่ารักแค่ไหน ไปดูกันเลย
























































แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง



แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก isaaclikes.comasos.comstyleluminisingme.com,thesartorialist.comreissonline.comtrashness.comdahong.co.krphixclothing.com

          ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่า แฟชั่นการสวมรองเท้าโดยไม่ใส่สวมถุงเท้า กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากเมื่อก่อนที่เมื่อไหร่เห็นคนใส่กางเกงขายาวแล้วไม่สวมถุงเท้า จะดูเป็นเรื่องตลกทันที หรือบางคนอาจคิดว่าถ้าไม่ใส่เท้าก็อาจจะเหม็นได้ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเทรนด์ที่ใคร ๆ ก็ต้องทำกัน ซึ่งวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะมาเผยเคล็ดลับการแต่งตัวสไตล์นี้ให้ทราบกัน

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

 สไตล์แบบเป็นทางการ

          แม้ว่าจะปราศจากถุงเท้า แต่การใส่สูท ผูกไทกับรองเท้าหนังดี ๆ สักคู่ ก็ยังทำให้คุณดูดีได้เสมอ ไม่ได้มีกฏบังคับข้อใดว่าต้องใส่ถุงเท้าเข้าประชุม ไปงานเลี้ยง หรือพบลูกค้าทุกครั้งนี่นา ของแบบนี้มันคืออยู่กับวิธีมิ๊กซ์ แอนด์ แมทช์ ของแต่ละคน ว่าจะแต่งอย่างไรให้ออกมาดูหล่อแบบมีระดับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพกันได้เลย!

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

 สไตล์สบายในวันชิล ๆ 

          มาถึงสไตล์ในวันพักผ่อนสบาย ๆ กันบ้าง คราวนี้คุณสามารถเล่นสนุกกับการหยิบเสื้อยืดตัวเก่ง มาใส่กับกางเกงยีนส์หรือกางเกงชิโน่ พร้อมรองเท้าผ้าใบเท่ ๆ สักคู่ แค่นี้ก็หล่อแบบง่าย ๆ ได้แล้ว หรือถ้าวันนี้อากาศร้อนก็เปลี่ยนจากกางเกงขายาว มาเป็นกางเกงขาสั้นก็ยังดูเก๋อยู่นะ

          อย่างไรก็ดี ถ้าคุณยังไม่เคยแต่งตัวสไตล์นี้มาก่อน แล้วไม่รู้ว่าควรเลือกรองเท้าแบบไหนมาใส่ งั้นลองดูเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรานำมาฝากกันนะครับ

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง


 รองเท้าหนัง

          หากวันนี้คุณทราบว่าจะต้องสวมรองเท้าเดินในงานเลี้ยงหรือใส่ทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมง คุณสามารถหยิบรองเท้าหนังมาใส่ได้เลย แล้วอย่าลืมขัดรองเท้าให้เงางามก่อนออกจากบ้านล่ะ

แนะวิธีใส่รองเท้าแบบไม่มีถุงเท้า แล้วเหมาะกับตัวเอง

 รองเท้าผ้าใบ

          ในวันที่ต้องออกไปเดินตะลอน ๆ ข้างนอกเป็นเวลานาน ๆ รองเท้าหนังคงทำให้เท้าคุณระบมไปหมดแน่ ถ้างั้นก็ได้เวลาคว้ารองเท้าผ้าใบคู่เก่งออกมาใส่แล้ว ต่อให้เดินขึ้นเดินลงหรือลำบากแค่ไหน ก็พร้อมลุยอย่างเต็มที่

          ข้อสำคัญสำหรับการใส่รองเท้าโดยไม่สวมถุงเท้าที่สำคัญอีกอย่างคือ...คุณควรดูแลรักษาสุขภาพเท้าให้ดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อใส่รองเท้าเป็นเวลานาน ๆ หลายชั่วโมง เหงื่อย่อมออกตามเท้าเป็นธรรมดา ดังนั้น อย่าลืมล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำ และใช้แป้งฝุ่นโรยใส่เท้าของคุณก่อนสวมรองเท้า หากคุณเป็นคนเหงื่อออกง่าย เพื่อไม่ให้เท้าอับชื้นจนส่งกลิ่นเหม็นออกมา

          นอกจากนี้ถ้าคุณมีเวลาว่าง เราแนะนำให้คุณลองเข้าร้านทำเล็บ เพื่อให้ช่างตัดเล็บ ขัดเท้าเอาเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกเสียบ้าง อย่ามัวเขินอายว่ามันเป็นร้านสำหรับผู้หญิงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ผู้ชาย (แท้ ๆ) ที่รู้จักดูแลตัวเองเขาก็เข้าร้านทำเล็บกันทั้งนั้นแหละ