วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

10 สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกเรา เมื่อจบการศึกษา

10 สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกเรา เมื่อจบการศึกษา
เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

         การสำเร็จการศึกษา เป็นเสมือนก้าวแรกของการเดินออกไปสู่โลกกว้าง ที่เหล่าบัณฑิตใหม่จะต้องพบเจอกับสิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิต พวกเราต่างมุ่งมั่นที่จะไขว่คว้าชีวิตที่ดี มีการงานที่มั่นคง ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในศักยภาพของตัวเองว่าจะต้องผ่านพ้นทุกอย่างไปด้วยดีและก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น แค่เพียงประสบการณ์ 4 ปีของเรา อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการเผชิญหน้าต่อโลกของความเป็นจริงที่เราจะต้องพบเจอหลังจากนี้

         ในวันนี้เว็บไซต์กระปุกดอทคอม  เลยขอนำบทความดี ๆ จาก เว็บไซต์อีลิทเดลี่ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ 10 สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกเราในการจบการศึกษา มาฝากเหล่าบัณฑิตใหม่เพื่อให้เรียนรู้และสามารถรับมือต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น มาตามอ่านกันเลยค่ะ
 10. โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เหมือนกับสิ่งเราคาดไว้

         ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เราศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย เราถูกปลูกฝังให้เห็นภาพของโลกที่แสนสดใส มองว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องง่าย เพราะว่าเราคือบัณฑิตผู้มีศักยภาพของสังคม แต่แท้ที่จริงแล้ว ภาพที่สวยหรูนั้นก็ไม่ต่างจากคำโกหก เพราะโลกไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การใช้ชีวิตคือการดิ้นรนและฟันฝ่า พวกเราที่เป็นบัณฑิตใหม่ล้วนแต่ด้อยประสบการณ์และขาดการเตรียมพร้อม ดังนั้นเพื่อการก้าวออกไปเผชิญต่อโลกได้อย่างมั่นคง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อสิ่งต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

 9. ปริญญานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย 

         จากสถิติล่าสุดของสำนักข่าวเอพีระบุว่า อัตราการว่างงานในหมู่ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่สูงถึง 53% นั่นหมายความว่า มีบัณฑิตเกินกว่าครึ่งที่ยังเตะฝุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการแข่งขันที่สูงมากในตลาดจ้างแรงงาน ผสมกับความต้องการแรงงานในตลาดที่น้อยลงหลังจากหลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

         นอกจากนี้ ผลการเรียนของเหล่าบัณฑิตก็มักมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.00 ซึ่งนั่นทำให้เราแทบจะไม่มีความแตกต่างไปจากบัณฑิตคนอื่น ๆ เลย ดังนั้นการได้รับงานอาจจะไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด และปริญญาก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้ได้งานเสมอไป

 8. เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทำให้เราหางานได้ยากขึ้น

         เทคโนโลยีเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดังเช่นการทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ หรือกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทำให้เราเกิดความสะดวกสบายในชีวิต มันก็เป็นสิ่งที่เข้ามาลดบทบาทความสำคัญและลดความจำเป็นในการจ้างแรงงานมนุษย์เช่นกัน

         อย่างไรก็ตามยังนับเป็นเรื่องดีที่อุตสาหกรรมหลายประเภทยังคงต้องการแรงงานมนุษย์ เข้าไปควบคุมการทำงานและดำเนินงานในสิ่งที่ผู้ใช้บริการทำผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทอยู่

 7. ใช่ว่าทุกสิ่งจะเหมาะสมสำหรับเราเสมอไป

         ในโลกของการทำงาน บางครั้งเราอาจจะพบกับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อไม่ได้รับในสิ่งที่คาดหวังไว้ จนทำให้เราอยู่ในสภาวะที่เศร้าซึม พร้อมกับเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ นั่นเพราะที่ผ่านมา เราถูกปลูกฝังให้มีความคาดหวังถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราพอใจ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่มีอยู่บนโลกของความเป็นจริงก็ตาม

 6. คนรักที่คบกันสมัยมหาวิทยาลัยมักจะกลายเป็นความทรงจำสีจาง ๆ

         อีกสิ่งหนึ่งที่คู่รักในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เคยตระหนักและไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ของพวกเขามักจะจบลงเมื่อบัณฑิตทั้ง 2 ก้าวออกมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง เพราะสิ่งต่าง ๆ และความกดดันที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้พวกเขาเกิดความซับซ้อนในตัวเอง จนเติบโตขึ้นและเรียนรู้ถึงการจัดอันดับความสำคัญถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในการใช้ชีวิตเสียใหม่ ซึ่งจะทำให้พวกเขาต่างก้าวเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง จนเป็นจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์นั้นในที่สุด

 5. การเกิดความคิดว่า ชีวิตตอนเรียนมหาวิทยาลัยคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุด 

         หากเรากำลังคิดว่าช่วงเวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเราแล้วล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ เพราะไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะบอกได้ว่าทำไมช่วงเวลาเหล่านั้นจะต้องเป็นเวลาในชีวิตที่ดีที่สุด ขณะที่โลกภายนอกยังมีกิจกรรมต่าง ๆ รออยู่อีกมากมาย มหาวิทยาลัยเป็นเพียงบันไดให้เราก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีที่สุดของเราเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ นั่นก็คงเป็นสัญญาณว่าชีวิตของเรากำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้เราเกิดความโหยหาช่วงเวลานั้นมากเหลือเกินเท่านั้นเอง

 4. นักเรียนที่สอบได้เกรด C เป็นผู้ขับเคลื่อนโลก

         เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักศึกษาทั้งหลายที่จะพยายามเรียนรู้ และมุ่งมั่นทำข้อสอบเพื่อคว้าเกรด A มาครอง ในขณะที่ใครอีกหลายคนที่ทำข้อสอบได้เพียงเกรด C กลับใช้ช่วงเวลาในการเรียนรู้นั้นเพื่อหาทางก่อตั้งกิจการของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว สัญชาตญาณในการเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ต่างหากที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่เราได้มากกว่าความรู้ที่มีอยู่เพียงในตำรา ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นคู่มือในการใช้ชีวิตได้ จนบางครั้งอาจเป็นเรื่องตลกเมื่อมหาวิทยาลัยได้กลายมาเป็นสถานที่ซึ่งนักเรียนที่สอบได้เกรด A สอนนักเรียนที่สอบได้เกรด B ว่าจะทำงานให้นักเรียนที่สอบได้เกรด C ได้อย่างไรบ้าง

 3. ผูกมิตรสร้างสัมพันธ์

         อาจารย์บางคนอาจจะเคยแนะนำแล้วว่าเครือข่ายของเราเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเราไม่ได้รอบรู้ในทุก ๆ สิ่งบนโลก แต่เพื่อน ๆ และคนรู้จักของเราอาจจะมีความรู้ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นจำมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเลือกคบหากลุ่มคนที่หลากหลาย จากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และจับตาดูว่าพวกเขามีการทำงานร่วมกันอย่างไรบ้าง เราควรจะคบหาทั้งเพื่อนที่เป็นเด็กเรียนและเด็กกิจกรรม เพราะใครจะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักของเราก็ได้

 2. ทุกการกระทำจะส่งผลตามมาเสมอ

         ในมหาวิทยาลัยเราสามารถทำในสิ่งที่เราชอบโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้นเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของเราจะส่งผลคืนสนองกลับมาเสมอ

 1. การทำงานหนักและทุ่มเท

         เราจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการทำงานหนักและการทุ่มเทของเราเอง พรสวรรค์อาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นใด ๆ และในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีหลักสูตรที่จะสอนว่าเราจะก้าวผ่านความล้มเหลวของเราไปได้อย่างไรด้วย เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเราให้ปีนขึ้นจากหลุมแห่งความล้มเหลวได้ ก็คือประสบการณ์ของเราเอง

         สุดท้ายนี้ เราก็อยากฝากถึงบัณฑิตทุก ๆ คนนะคะว่า อย่าได้กลัวที่จะล้มเหลว อย่าได้เกรงกับอุปสรรคที่กีดกันเราได้ อย่าได้เป็นเพียงบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ  แต่ให้เรากลายเป็นบัณฑิตนักแก้ปัญหาและทำงานได้ทุกสถานการณ์

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สิ่งสำคัญ ที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกกับ บัณฑิตแห่งฮาร์วาร์ด


» สิ่งสำคัญ ที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกกับ บัณฑิตแห่งฮาร์วาร์ด

       » เรียบเรียง และ ถ่ายทอด โดย "หนุ่มเมืองจันท์"





วันหนึ่ง เมื่อ "เจ.เค.โรลลิ่ง" ไปปาฐกถาในงานรับปริญญาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
... 
เธอบอกกับบัณฑิตทุกคนว่า เรื่องที่เธออยากจะพูด คือ สิ่งที่เธอคิดว่าควรจะรู้ตอนรับปริญญา แต่ไม่ได้รู้

และสิ่งที่เธอเรียนรู้จากช่วงเวลา 21 ปีหลังจบการศึกษา

เรื่องนั้นคือ..."ประโยชน์ของความล้มเหลว"

----------

...สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดตอนที่อายุเท่ากับพวกคุณ ไม่ใช่ "ความจน" หากเป็น "ความล้มเหลว"

"พรสวรรค์และสติปัญญาไม่เคยเป็นภูมิคุ้มกันให้ใครรอดพ้นจากความไม่แน่นอนของโชคชะตาไปได้"

"เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกว่า แรงขับของคนที่จบจาก "ฮาร์วาร์ด" อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจาก "ความกลัวจากความล้มเหลว" หรือ "ความปรารถนาในความสำเร็จ" ก็ได้

แต่ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยง "ความล้มเหลว" ได้

การล้มเหลวในบางครั้งของชีวตเป็นเรื่องธรรมดา

"ยกเว้นแต่คุณจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากเสียจนไม่เกดมาเลยจะดีกว่า ซึ่งในกรณีนั้นเท่ากับว่าคุณได้ล้มเหลวโดยอัตโนมัติ"

ชอบครับ...ชอบ

--------

"เจ.เค.โรลลิ่ง" เล่าว่า หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย ชีวิตของเธอได้เดินหน้าสู่ "ความล้มเหลว" อย่างเต็มตัว

7 ปี หลังจากนั้น เธอล้มเหลวเรื่อง "ชีวิตคู่" ต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียว

ล้มเหลวเพราะไม่มีงานทำ

และล้มเหลวเพราะ "จน" ที่สุดเท่าที่จนได้ในประเทศอังกฤษสมัยใหม่โดยที่ยังไม่เป็นคนจรจัด

หลายคนเคยพูดถึงชีวิตของเธอว่าเป็นการคลี่คลายอย่างน่ามหัศจรรย์ราวกับนิทานเด็ก

แต่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" บอกเลยว่า "ความล้มเหลว" ไม่ใช่เรื่องสนุก

"ฉันไม่รู้เลยว่า อุโมงค์นั้นจะยาวขนาดไหน และเป็นเวลานานมากที่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ถ้ามันจะมี ก็เป็นเพียงความหวังของฉัน ไม่ใช่ความจริง"

--------

แล้ว "ประโยชน์" ของ "ความล้มเหลว" คืออะไร

คำตอบสั้น ๆ จาก "เจ.เค.โรลลิ่ง" ก็คือ ความล้มเหลวได้บังคับให้เราต้องถอดรื้อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สำคัญ

"ฉันหยุดหลอกตัวเองว่า ฉันเป็นอะไรที่มากกว่าที่ฉันเป็น แล้วก็เริ่มทุ่มเทพลังงานให้กับการทำงานเดียวที่สำคัญสำหรับฉันให้เสร็จ"

เธอบอกว่า ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอประสบความสำเร็จในเวทีเดียวที่เชื่อว่าเป็นเวทีของเธอจริง ๆ

และนั่นคือ ที่มาของ "แฮรี่ พ็อตเตอร์"

นวนิยายที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและพลังแห่งความมุ่งมั่นของเธอ

--------

"ความล้มเหลว" ได้ปลดปล่อย "เจ.เค.โรลลิ่ง" ให้พ้นจาก "จินตนาการ" ที่หลอกตัวเองว่า เธอเป็นอะไรที่มากกว่าที่เธอเป็

ผมเชื่อว่า นี่คือประเด็นที่เธออยากบอกคนหนุ่มสาวที่ก้าวพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย

"ความฝัน" และ "ความเชื่อมั่น" เป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์

แต่ "ความจริง" คือ โลกใต้ฝ่าเท้าที่เรายืนอยู่

และ "ความล้มเหลว" คือ โฟมล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างเครื่องสำอางแห่ง "ความฝัน" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคลือบอยู่บนใบหน้าของเร

หลังจากปล่อยให้ "ความล้มเหลว" จัดการพันธนาการต่าง ๆ ที่ "ไม่จริง" จนหมดสิ้น

"เจ.เค.โรลลิ่ง" ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

แม้ "ความล้มเหลว" ได้กลายเป็น "ความจริง"

"แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่"

สิ่งที่เธอมีในวันนั้นก็คือ 1.มีลูกสาวที่เธอรัก 2.มีเครื่องพิมพ์ดีดเก่า ๆ 1 เครื่อง

และ 3.เธอมี "ไอเดีย" ที่ยิ่งใหญ่

-------- 

ประโยคต่อมาเป็นประโยคที่ผมชอบที่สุดในปาฐกถาชิ้นนี้

"ก้นเหวจึงเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้ฉันสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่"

ครับ...ถ้าเราไม่ยอมรับ "ความจริง" ว่าเราล้มเหลว
ยังแหวกว่ายอยู่ในหุบเหวของความล้มเหลวโดยใช้จินตนาการที่หลอกตัวเองเป็นเครื่องพยุงตัว

ไม่ยอมปล่อยตัวเองให้ถึงก้นเหว

โอกาสที่เราจะทะยานตัวขึ้นก็เป็นเรื่องยาก

เพราะหลักของการ "ลุก" เมื่อเรา "ล้ม" ก็คือ ต้องดันตัวเองขึ้นมาโดยใช้พื้นเป็นฐานยันตัว

การลอยอยู่ในอากาศ เราจะไม่มีอะไรเป็นฐานในการดันตัวขึ้นเลย

แต่เมื่อเรายอมดิ่งตัวเองจนถึง "ก้นเหว" เมื่อไร

เราจะมี "ก้นเหว" เป็นจุดค้ำยันและผลักตัวเองให้กระโดดขึ้นมาจากหุบเหวแห่ง "ความล้มเหลว" ได้สำเร็จ

-------- 

"ความล้มเหลวมอบความมั่นคงทางจิตใจให้กับฉัน...ความล้มเหลวสอนเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวฉันเองที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยโดยวิธีอื่น"

สิ่งที่ "เจ.เค.โรลลิ่ง" ได้รับก็คือ เธอมีความมุ่งมั่นมากขึ้น และมีวินัยมากกว่าที่เธอคาดคิด

"ความรู้ที่คุณมีหลังจากที่โผล่พ้นจากความล้มเหลวแต่ละครั้งอย่างมีปัญญาและเข้มแข็งกว่าเดิม แปลว่า คุณจะมีความสามารถในการเอาตวรอดติดตัวไปตลอดชีวิต"

"คุณจะไม่มีวันรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงหรือรู้จักความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ในชีวิตจนกว่าทั้ง 2 สิ่งนี้จะถูกทดสอบด้วยเคราะห์ร้าย"

"เจ.เค.โรลลิ่ง" สรุปว่า "ความรู้" แบบนี้เป็นพรสวรรค์ที่แท้จรงและได้มาด้วยความยากลำบาก

"มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับฉันมากกว่าคุณวุฒิทุกอย่างที่ฉันเคยได้รับ"

สำหรับ "เจ.เค.โรลลิ่ง" แล้วชีวิตเป็นเรื่องยากซับซ้อน และไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์

ถ้านั่งไทม์แมชชีน หรือ เครื่องย้อนเวลากลับไปได้ "เจ.เค.โรลลิ่ง" จะบอกตัวเองในวันที่มีอายุ 21 ปีว่า ให้ยอมรับในสัจธรรมข้อนี้

"ความอ่อนน้อมถ่อมตนในการยอมรับความจริงดังกล่าวจะช่วยให้คุณรอดพ้นจากความผันผวนของชีวิต"

--------

ชมคลิป speech ของเธอในงานนี้ได้ที่นี้ครับ

<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nkREt4ZB-ck" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nkREt4ZB-ck" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

--------

Credit : หนุ่มเมืองจันท์ "ความล้มเหลวและจินตนาการ (1)" มติชนสุดสัปดาห์. (24 - 30 ตุลาคม 2551) : หน้า 24.


ที่มา http://www.facebook.com/photo.php?fbid=393683740662857&set=a.184872464877320.42492.180717885292778&type=1&theater

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Just the ticket for popping the question: The tree-lined romantic 'tunnel of love' railway line that's so beautiful it's beyond be-leaf (just watch out for the train) Read more: http://www.dailymail.co.uk/news/article-2142736/Just-ticket-popping-question-The-romantic-tunnel-love-railway-line-thats-beautiful-leaf.html#ixzz1vjOjCWwd


Strolling hand-in-hand with someone special, these young lovers must be in one of the world's most romantic spots.
India may have the Taj Mahal, and Paris is the city of love, but the Ukraine has this incredible, ethereal Tunnel of Love.
There is one thing though, it's also a train line. And when it's choo-choo time, the tunnel does get rather noisy.
Anton Kozachuk, 18, and Nastya Guz, 16, walk through the Tunnel of Love in Klevan, Ukraine
Anton Kozachuk, 18, and Nastya Guz, 16, walk through the Tunnel of Love in Klevan, Ukraine
Rather unromantically, the tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a fibreboard factory near the town of Klevan, in the east of the country. It runs around three times a day delivering wood to the factory.
However, in spring the beautiful avenue of trees is witness to a very different journey - into love. For it is a favoured spot for young romantics to stroll with that special someone.
 
The magic happens when the trees that line the rails burst into life and create a leafy enclosed arch over the track. 
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true. 
A train runs through the Tunnel Of Love's private railway line
A train runs through the Tunnel Of Love's private railway line
The tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a nearby fibreboard factory
The tunnel is actually a three kilometre section of private railway that serves a nearby fibreboard factory
A train runs around thrice daily through the ethereal 'tunnel' - delivering wood to the factory
It is a favoured spot for young romantics to stroll with that special someone
The tunnel is a favourite spot for young romantics to stroll with that special someone
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true
It is said that couples can come here to make a wish and if they are sincere in their love it will come true


Read more: http://www.dailymail.co.uk/news/article-2142736/Just-ticket-popping-question-The-romantic-tunnel-love-railway-line-thats-beautiful-leaf.html#ixzz1vjOg5uzy

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มาร์ค!! เจ้าพ่อ facebook แต่งงาน


"มาร์ค!! เจ้าพ่อ facebook แต่งงาน"

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกหนึ่งคู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเราซักเท่าไหร่ นั่นคือ มาร์คซัคเคอร์เบิร์กนั่นเอง ยินดีด้วยคร้าไปดูรูปเจ้าสาวผู้โชคดีกันดีกว่า...


ขอแสดงความยินด้วยค่ะ เจ้าสาวและเจ้าบ่าว เพราะเป็นคนดังระดับโลกและดูจะอยู่ใกล้ตัวพวกเรามาก เพราะเค้าคือเจ้าของ Facebook.com ซึ่งเมื่อวานนี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้เข้าประตูวิวาห์กับแฟนสาวไปเรียบร้อยแล้ว โดยมาร์คประกาศสถานะโดยการเปลี่ยนรูปที่ Timeline และเปลี่ยน Status เป็นแต่งงานแล้ว  หวังว่าไม่นานจะมีมาร์คจูเนียร์ให้เราได้ดูกันนะค่ะ



วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MLM Online School

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภาพวาดกายวิภาค โดย ลีโอนาร์โด ดาร์วินซี





หนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ “ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี” แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้บุกเบิกด้านการศึกษากายวิภาคของมนุษย์ โดยไลฟ์ไซน์ระบุว่าเขาศึกษากายวิภาคเพื่อพัฒนาการวาดภาพมนุษย์ ล่าสุดทางหอศิลป์ในควีนเอลิซาเบธที่ 2 ได้จัดนิทรรศการภาพวาดกายวิภาคมนุษย์ผลงานดาร์วินชีที่ใหญ่ที่สุด


ข้อมูลจากเว็บไซต์หอศิลป์ราชวงศ์อังกฤษ (The Royal Collection) ระบุว่า ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี (Leonardo da Vinci) เตรียมตีพิมพ์ผลงานการค้นพบทางกายวิภาคของเขา แต่หลังจากเสียชีวิตเมื่อปี 1519 ผลงานของเขาก็หายไปสายตาชาวโลกกว่า 400 ปี


หากแต่วันนี้ผลงานเหล่านั้นมาอยู่ท่ามกลางราชสมบัติของราชวงศ์อังกฤษ ในนิทรรศการภาพวาดกายวิภาคมนุษย์ของดาร์วินชีที่ใหญ่ที่สุด โดยจัดแสดง ณ หอศิลป์สมเด็จพระราชชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (The Queen’s Gallery) พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ระหว่างวันที่ 4 พ.ค.-7 ต.ค.55





ภาพเปลือยของผู้ชายจากด้านหลัง (วาดระหว่าง 1504-1506)





ระบบเลือดและอวัยวะที่สำคัญของผู้หญิง (วาดระหว่าง ปี 1509-1510)





ภาพวาดที่แสดงว่าดาร์วินชีขยับใกล้ความลึกลับของระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ในภาพนี้


เขาวาดภาพอวัยวะสำคัญๆและระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย์ (วาดระหว่าง 1485-1490)





ภาพวาดแสดงความละเอียดอ่อนของกระดูกมือ (วาดประมาณปี 1510)





รายละเอียดของไหล่และเท้าจากภาพวาดของดาร์วินชี (วาดประมาณปี 1510)






บันทึกของดาร์วินชีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้มีอายุเกิน 100 ปี (เขียนเมื่อประมาณปี 1508)





ภาพการศึกษาระบบทางเดินอาหาร





ภาพภาคตัดของกะโหลก รวมถึงรายละเอียดของฟัน





ภาพการศึกษาการวิภาคของหัวใจ ทั้งรายละเอียดของหลอดเลือดหัวใจและลิ้นหัวใจ





ภาพตัวอ่อนในมดลูก (วาดระหว่างปี 1510-1513)



ขอบคุณที่มา : manager.co.th,ภาพประกอบทั้งหมดจากไลฟ์ไซน์/หอศิลป์พระราชวงศ์อังกฤษ






ที่มา http://www.สวยเริ่ด.com/

แมท ภีรนีย์ - มิน พีชญา เปลี่ยนลุคส์ สวยเท่ ลงปก FAST ENTERTAINMENT

แมท ภีรนีย์ - มิน พีชญา เปลี่ยนลุคส์ สวยเท่ ลงปก FAST ENTERTAINMENT  154Share














เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Fast Entertainment




หากพูดถึงนางเอกหน้าใหม่ทีมีผลงานให้เราเห็นกันอย่างต่อเนื่อง อยู่ตอนนี้ต้องมีชื่อของทั้ง 2 คนนี้เป็นแน่นอน แมท ภีรนีย์ นางเอกจากช่อง 3 ที่ผลงานล่าสุดให้ได้ชมกันในละคร "แหม่มแก้มแดง" และ มิน พีชญา นางเอกจากทางช่อง 7 ผลงานล่าสุดกับละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ที่ทั้งสองมักจะพูดถึงฝีมือในการแสดง และความน่ารักของทั้งสองอยู่เสมอ




และในคราวนี้ ทาง FAST ENTERTAINMENT ก็ทำให้ทั้ง 2 มาโคจรพบกัน ในแฟชั่นที่จับทั้งคู่เปลี่ยนลุคส์จากนางเอกหน้าหวาน เป็นสาวเท่ที่แฝงไว้ด้วยความเซ็กซี่ กับโลเคชั่นแปลกตา คลังสินค้าของสนามบินดอนเมือง แล้วเพิ่มความอลังการให้สมจริง ด้วยการมีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์สุดเท่มาให้สองสาวได้โพสต์ท่ากัน โดยได้ช่างภาพฝีมือระดับเทพของเมืองไทย จอร์จ ธาดา วารีช มากดชัตเตอร์ให้อีกเช่นเคย




ถึงแม้ว่านี้จะเป็นครั้งของทั้งคู่ที่มาร่วมงานกัน แต่ก็ทำงานเข้าขากันได้ดีจนมีรูปแฟชั่นภาพสวย ของทั้งสองออกมาให้ชมกัน ใครเป็นแฟนนางเอกทั้งสองคนนี้ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง สามารถติดตามแฟชั่นทั้งคู่แบบแต็ม ๆ กันได้ในกับนิตยสาร FAST ENTERTAINMENT ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม ได้ทุกแผงหนังสือชั้นนำแล้ววันนี้นะคร้าบ